ความสงบหลวงปู่ชา สุภัทโท หนังสือ หมวด:

ในฐานะที่พวกเราทั้งหลาย เป็นผู้ตั้งอกตั้งใจมาบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ทุกท่านอยู่คนละแห่งละหนก็มารวมกัน ณ วัดป่าพงนี้ ซึ่งเป็นพระประจำอยู่วัดนี้ก็มี ที่เป็นอาคันตุกะเพิ่งมาอาศัยอยู่ก็มี ก็ล้วนแต่เป็นนักบวช ซึ่งได้พยายามหาความสงบด้วยกันทั้งนั้น

ความสงบอยู่ที่ตัวเรา

ความสงบที่แท้จริงนั้น พวกเราทั้งหลายจงเข้าใจ พระพุทธองค์ตรัสว่า ความสงบอย่างแท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ห่างไกลจากพวกเรา มันอยู่กับพวกเรา แต่เราทั้งหลายมองข้ามไปข้ามมาอยู่เสมอ ต่างคนก็ต่างมีอุบายที่จะหาความสงบนั่นเอง แต่ก็ยังมีความฟุ้งซ่านรำคาญ ไม่ถนัดใจอยู่ ก็ยังไม่ได้รับความพอใจในการปฏิบัติของตนเอง คือยังไม่ถึงเป้าหมาย เปรียบประหนึ่งว่าเราเดินทางออกจากบ้านเราแล้วก็เร่ร่อนไปสารพัดแห่ง ไม่มีความสบาย แม้จะไปรถ จะไปเรือ จะไปที่ไหนอะไรก็ตามที มันยังไม่ถึงบ้านเรา เมื่อเรายังไม่ถึงบ้านเรานั้นก็ไม่ค่อยสบาย ยังมีภาระผูกพันอยู่เสมอ นี้เรียกว่าเดินยังไม่ถึง ไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ก็เร่ร่อนไปในทิศต่างๆเพื่อแสวงหาโมกขธรรม

ยกตัวอย่างเช่นพระภิกษุสามเณรเรานี้ ใครๆก็ต้องการความสงบ ตลอดพวกท่านทั้งหลายถึงอาตมาก็เหมือนกัน หาความสงบไม่เป็นที่พอใจ ไปที่ไหนก็ยังไม่เป็นที่พอใจ เข้าไปในป่านี้ก็ดี ไปกราบอาจารย์นั้นก็ดี ไปฟังธรรมใครก็ดี ก็ยังไม่ได้รับความพอใจ อันนี้เป็นเพราะอะไร

เราต้องการความสงบแบบใด

หาความสงบไปอยู่ในที่สงบ ไม่อยากจะให้มีเสียง ไม่อยากจะให้มีรูป ไม่อยากจะให้มีกลิ่น ไม่อยากจะให้มีรส อยู่เงียบๆอย่างนี้นึกว่ามันจะสบาย คิดว่าความสงบมันอยู่ตรงนั้น ซึ่งความเป็นจริงนั้นเราไปอยู่เงียบๆไม่มีอะไร มันจะรู้อะไรไหม มันจะรู้สึกอะไรไหม ลองคิดดูซิ ตาของเรานั้นนะ ถ้าไม่เห็นรูป มันจะเป็นอย่างไรไหม จมูกนี้ก็ไม่ได้กลิ่น มันจะเป็นอย่างไรไหม ลิ้นของเราไม่ได้รู้จักรส มันจะเป็นอะไร อย่างไรไหม ร่างกายไม่กระทบโผฏฐัพพะที่ถูกต้องอะไร มันจะเป็นอะไรไหม ถ้ามันเป็นอย่างนั้นมันก็เป็นคนตาบอดซิ คนหูหนวก คนจมูกขาด ลิ้นหลุดไป กายไม่รับรู้อะไรเป็นอัมพาตไปเลย มันจะมีอะไรไหม แต่ใครก็มักจะคิดอย่างนั้น อยากจะไปอยู่ที่ว่ามันไม่มีอะไรความคิดอย่างนั้น เคยคิด เคยคิดมา

ความสงบเกิดจากภายในจิตใจ

ในสมัยที่อาตมาเป็นพระปฏิบัติใหม่ๆ จะนั่งสมาธิตรงไหน เสียงมันก็อื้อ มันไม่สงบเลย คิดผ่านไปผ่านมาเสมอว่า จะทำอย่างไรหนอมันไม่สงบ จนต้องหาขี้ผึ้งมาปั้นกลมๆอุดเข้าไปในหูนี่ ไม่ได้ยินอะไร มีแต่เสียงอื้อเท่านั้น นึกว่ามันจะดี นึกว่ามันจะสงบ เปล่า! ความปรุงแต่งอะไรต่ออะไรต่างๆนี้ มิใช่อยู่ที่หูดอก มันเกิดภายในจิตในใจ มันจะมีสารพัดอย่าง ต้องคลำหามันค้นคว้าหาความสงบ พูดง่ายๆ จะไปอยู่ในเสนาสนะอะไรก็ดีนะ คิดไม่อยากจะทำอะไร มันขัดข้องไม่ได้ทำเพียร อยากจะนั่งให้มันสงบ ลานวัดก็ไม่อยากจะไปกวาดมัน อะไรก็ไม่อยากจะทำมัน อยากจะอยู่เฉยๆ อยากหาความสงบอย่างนั้น ครูบาอาจารย์ให้ช่วยกิจวัดที่เราอาศัยอยู่ก็ไม่ค่อยจะเอาใจใส่มัน เพราะเห็นว่ามันเป็นงานภายนอก

การปล่อยวางที่ไม่ถูกต้อง

อาตมาจะยกตัวอย่างให้ฟังเลยนะ เช่นว่า อาจารย์องค์หนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์อาตมา ท่านมีศรัทธามากที่สุด ตั้งใจมาปฏิบัติละวาง หาความสงบ ผมก็สอนให้ละให้วาง ท่านก็เข้าใจเหมือนกันว่า ละวางทั้งหมดมันคงจะดี ความเป็นจริงตั้งแต่มาอยู่ด้วยก็ไม่อยากทำอะไร แม้หลังคากุฏิลมมันพัดตกไปข้างหนึ่ง ท่านก็เฉย ท่านว่าอันนั้นมันเป็นของภายนอก แน่ะ ไม่เอาใจใส่ แดดฝนรั่วทางโน้น ท่านก็ขยับมาทางนี้ ท่านว่าไม่ใช่เรื่องของท่าน เรื่องของท่านมันเรื่องจิตสงบ หลังคารั่วมันไม่ใช่เรื่องของท่าน มันขัดข้องวุ่นวาย ไม่ให้เป็นภาระ นี่ความเห็นมันเป็นอย่างนั้น อีกวันหนึ่งอาตมาก็เดินไป ไปพบหลังคามันตก ก็ถามว่า “เอ…กุฏิของใคร” ก็ได้รับคำตอบว่าเป็นกุฏิของท่านอาจารย์องค์นั้น “อือ…แปลกนะ” นี่ก็เลยได้พูดกัน อธิบายอะไรต่ออะไรกันหลายอย่าง เสนาสนะวัตรน่ะที่อยู่ของเรานั้น คนเรามันต้องมีที่อยู่ ที่อยู่มันเป็นอย่างไรก็ต้องดูมัน การปล่อยวางไม่ใช่เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเราปล่อย เราทิ้ง อันนั้นมันเป็นลักษณะคนที่ไม่รู้เรื่อง ฝนตกหลังคารั่ว ต้องขยับไปข้างโน้น แดดออก เอ้า ขยับมาข้างนี้อีกแล้วทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ทำไมไม่ปล่อยไม่วางอยู่ตรงนั้น อาตมาก็เลยเทศน์ให้ฟังกัณฑ์ใหญ่ ท่านก็ยังมาเข้าใจว่า

“เออ หลวงพ่อบางทีเทศน์ให้เรายึดมั่น บางทีเทศน์ให้เราปล่อยวาง ไม่รู้จะเอาอย่างไร ขนาดหลังคากุฏิมันตกลงไป เราก็ปล่อยวางขนาดนี้ ท่านก็ยังว่าไม่ถูกอีก แต่ท่านก็เทศน์ว่าไม่ให้ยึด ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร มันจึงจะถูก” ดูซิคนเราจิตมันเป็นอย่างนี้ ในการปฏิบัติมันโง่อย่างนี้

ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุ

ตาเรามันมีรูปไหม ถ้าไม่อาศัยรูปข้างนอก รูปมีในตาไหม หูเรานี้มีเสียงไหม ถ้าเสียงข้างนอกไม่มากระทบมันจะมีเสียงไหม ถ้าไม่อาศัยกลิ่นข้างนอก จมูกของเรามันจะมีกลิ่นไหม ลิ้นมันจะมีรสไหม มันต้องอาศัยรสภายนอกมากระทบ มันจึงมีรสอย่างนั้น เหตุมันอยู่ตรงไหนนะ เราพิจารณาดูที่พระท่านว่า ธรรมมันเกิดเพราะเหตุ ถ้าหูเราไม่มีแล้วจะมีโอกาสได้ยินเสียงไหม ตาเราไม่มีมันจะมีเหตุให้เราเห็นรูปไหม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้มันคือเหตุ พระท่านบอกว่าธรรมมันเกิดเพราะเหตุ เมื่อจะดับก็เพราะเหตุมันดับก่อน ผลมันจึงดับ เมื่อผลมันจะมีขึ้น ก็มีเหตุมาก่อนแล้วผลมันจึงตามมา

ถ้าหากเราเข้าใจว่าความสงบมันอยู่ตรงนั้น มันจะมีปัญญาไหมมันจะมีเหตุมีผลไหม สำหรับที่เราจะต้องปฏิบัติหาความสงบ มันจะมีอะไรไหม ถ้าเราจะไปโทษเสียง ไปนั่งที่ไหนมีเสียงก็ไม่สบายใจแล้ว คิดว่าที่นี่ไม่ดี ที่ไหนมีรูปก็ว่าที่นั่นไม่ดี ไม่สงบ อย่างนั้นก็เป็นคนอายตนะหายหมด ตาบอด หูหนวกหมด ทีนี้ผมทดลองดูก็คิดไป

“เอ มันก็แปลกเหมือนกัน มันไม่สบายเพราะตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต นี่แหละ หรือว่าเราจะเป็นคนที่จักษุบอดดีนะ มันไม่ต้องเห็นอะไรดีนะ มันจะหมดกิเลสที่ตรงจักษุมันบอดละมั้ง หรือว่าหูมันหนักมันตึง มันจะหมดกิเลสที่ตรงนั้นละมั้ง”

รู้ความเป็นจริงจักเกิดปัญญา

ลองๆดูก็ไม่ใช่ทั้งหมดนั้นแหละ งั้นคนตาบอดก็สำเร็จอรหันต์สิ คนหูหนวกก็สำเร็จหมดแล้ว คนตาบอดหูหนวกสำเร็จหมด ถ้าหากว่ากิเลสมันเกิดตรงนั้น อันนั้นคือเหตุของมัน อะไรมันเกิดจากเหตุเราต้องดับตรงนั้น เหตุมันเกิดตรงนี้ เราพิจารณาจากเหตุนี้ ความเป็นจริงอายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้เป็นของที่ให้เกิดปัญญา ถ้าเรารู้เรื่องตามความเป็นจริง ถ้าเราไม่รู้เรื่อง เราก็จะต้องปฏิเสธว่าไม่อยากจะเห็นรูป ไม่อยากจะฟังเสียง ไม่อยากจะอะไรทั้งนั้น มันวุ่นวายอยู่ตรงนั้น เราตัดเหตุมันออกเสียแล้ว จะเอาอะไรมาพิจารณาเล่า ลองๆซิ อะไรจะเป็นเหตุ อะไรจะเป็นเบื้องต้นท่ามกลาง เบื้องปลาย มันจะมีไหม นี่ อันนี้คือความคิดผิดของพวกเราทั้งหลาย

ดังนั้น ครูบาอาจารย์ท่านจึงให้สำรวม การสำรวมนี้แหละมันเป็นศีล ศีลสังวร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่เป็นศีล เป็นสมาธิเหล่านี้ เราคิดดู ประวัติพระสารีบุตรเมื่อครั้งยังไม่บวช ท่านไปพบพระชื่ออัสสชิด้วยตาของท่านเอง เห็นพระอัสสชิเดินไปบิณฑบาต เมื่อมองเห็นแล้วก็เกิดความรู้สึกว่า “แหม พระองค์นี้แปลกเหลือเกิน เดินไม่ช้าไม่เร็ว กลีบจีวรสีจีวรของท่านไม่ฉูดฉาด เรียบๆ เดินไปก็ไม่มองหน้ามองหลัง สังวรสำรวม” เกิดแปลกขึ้นในใจ อันนั้นเป็นเหตุแก่ผู้มีปัญญา ท่านสารีบุตรสงสัยก็ตรงเข้าไปกราบเรียนถามท่าน อยากจะรู้ว่าใครมาจากไหนอย่างนี้ “ท่านเป็นใคร” “เราเป็นสมณะ”

“ใครเป็นครูเป็นอาจารย์ของท่าน”

“พระโคดมเป็นครูเป็นอาจารย์ของเรา”

“พระโคดมนั้น ท่านสอนว่าอย่างไร”

“ท่านสอนว่า ธรรมทั้งหลายมันเกิดเพราะเหตุ เมื่อมันจะดับก็เพราะเหตุมันดับไปก่อน”

อายตนะกับผู้มีปัญญา

นี้คือพระสารีบุตรนิมนต์ให้ท่านเทศน์ให้ฟัง ท่านก็อธิบายพอสังเขปเท่านั้น ท่านยกเหตุผลขึ้นมา ธรรมเกิดเพราะเหตุ เหตุเกิดก่อนผลจึงเกิด เมื่อผลมันจะดับ เหตุต้องดับก่อน เท่านั้นเอง พระสารีบุตรพอแล้ว ได้ฟังธรรมพอสังเขปเท่านั้น ไม่ต้องพิสดารเท่านั้นแหละอันนี้เรียกว่ามันเป็นเหตุ เพราะในเวลานั้นพระสารีบุตรท่านมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีจิต อายตนะของท่านครบอยู่ ถ้าหากว่าอายตนะของท่านไม่มี มันจะมีเหตุไหม ท่านจะเกิดปัญญาไหม ท่านจะรู้อะไรต่ออะไรไหม แต่พวกเราทั้งหลายกลัวมันจะกระทบ หรือชอบให้มันกระทบ แต่ไม่มีปัญญา ให้มันกระทบเรื่อยๆทางตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต เลยเพลินไป เลยหลง นี้มันเป็นอย่างนี้ อายตนะนี้มันให้เพลินก็ได้ ให้หลงก็ได้ มันให้เกิดความรู้มีปัญญาก็ได้ มันให้โทษและให้คุณพร้อมกัน แล้วแต่บุคคลที่จะมีปัญญา

รู้จักโลกตามความเป็นจริง

อันนี้ให้เราเข้าใจว่าเราเป็นนักบวช เข้ามาปฏิบัติ ปฏิบัติทุกอย่าง ความชั่วก็ให้รู้จัก คนสอนง่ายก็ให้รู้จัก คนสอนยากก็ให้รู้จัก ท่านให้รู้จักทั้งหมด เพื่ออะไร เพื่อเราจะรู้ความจริงที่เราจะต้องเอามาปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าเราปฏิบัติแต่สิ่งที่ว่ามันดีมันถูกใจเรา เราจึงจะชอบมันไม่ใช่อย่างนั้น สิ่งในโลกนี้นะ บางสิ่งเราชอบใจ บางสิ่งเราไม่ชอบใจ มันมีอยู่ในโลก มันไม่มีอยู่ที่อื่น ตามธรรมดาสิ่งอะไรที่ชอบใจเราก็ต้องการสิ่งนั้น พระเณรอยู่ด้วยกันก็เหมือนกัน ถ้าองค์ไหนไม่ชอบใจไม่เอา เอาแต่องค์ที่ชอบ นี่ดูซิ เอาแต่สิ่งที่ชอบ ไม่อยากจะรู้ ไม่อยากจะเห็น ไม่อยากจะเป็นอย่างนี้ ความเป็นจริงพระพุทธองค์ให้มีประสบการณ์โลกวิทู เราเกิดมาดูโลกอันนี้ให้แจ่มแจ้ง ให้ชัดเจน ถ้าเราไม่รู้จักโลกตามความเป็นจริง ไปไหนไม่ไหวไปไม่ได้ จำเป็นจะต้องรู้จัก อยู่ในโลกก็ต้องรู้จักโลก พระอริยบุคคลสมัยก่อนก็ดี พระพุทธเจ้าของเราก็ดี ท่านก็อยู่กับพวกเรานี้ อยู่กับพวกปุถุชนนี้ อยู่ในโลกนี้ ท่านก็เอาความจริงในโลกนี้เอง ไม่ใช่ว่าท่านไปเอาที่ไหน ไม่ใช่ท่านหนีโลกไปหาสัจจธรรมที่อื่น แต่ท่านมีปัญญา สังวรสำรวมอายตนะของท่านอยู่เสมอ การประพฤติปฏิบัตินี้คือการพิจารณาดูสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ รู้ตามความเป็นจริงว่ามันเป็นอย่างนั้นอยู่ ให้รู้เรื่องมัน

ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงให้รู้อายตนะเครื่องต่อไต่ นัยน์ตามันก็ต่อเอารูปเข้ามาเป็นอารมณ์ หูมันก็ต่อเอาเสียงเข้ามา จมูกมันก็ต่อเอากลิ่นเข้ามา ลิ้นมันก็ต่อเอารสเข้ามา ร่างกายก็ต่อเอาโผฏฐัพพะเข้ามา เกิดความรู้ขึ้น ที่เกิดความรู้ขึ้นน่ะให้เราพิจารณาตามความจริงถ้าเราไม่รู้จักตามความเป็นจริง เราจะชอบมันที่สุด หรือเกลียดมันที่สุด ชอบมันอย่างยิ่ง เกลียดมันอย่างยิ่ง อารมณ์นี้ถ้ามันเกิดขึ้นมานี่ที่เราจะตรัสรู้ ที่ปัญญามันจะเกิดตรงนี้ แต่ว่าเราไม่อยากจะให้เป็นอย่างนั้น

สำรวมสังวร…ทำอย่างไร?

พระพุทธองค์ท่านให้สังวรสำรวม การสังวรสำรวมนั้นไม่ใช่ว่าไม่ให้เห็นรูป ไม่ให้ได้ยินเสียง ไม่ให้ได้กลิ่น ไม่รู้จักรส ไม่รู้จักโผฏฐัพพะ ไม่รู้จักธรรมารมณ์ ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าผู้ประพฤติปฏิบัติไม่เข้าใจ พอเห็นรูปก็เสียว ฟังเสียงก็เสียว หนีเรื่อย หนีไปไม่สู้ หนีไปนึกว่ามันจะหมดฤทธิ์หมดเดช นึกว่ามันจะจบลง มันจะพ้น มันไม่พ้นนะ อันนั้นไม่พ้น หนีไปไม่รู้ตามความจริง ข้างหน้ามันก็โผล่ขึ้นอีก ต้องแก้ปัญหาอีก เช่นพวกปฏิบัตินี่ อยู่ในวัดก็ดี อยู่ในป่าก็ดี อยู่ในเขาก็ดี ไม่สบาย เดินธุดงค์ไปดูอันนั้นไปดูอันนี้สารพัดอย่างว่าจะสบายใจ ไปแล้ว กลับมาแล้วก็ไม่เห็นอะไร ลองขึ้นไปบนภูเขา”เออ ตรงนี้สบายนะ เอาละ” ไม่รู้สบายกี่วันก็เบื่ออีกแล้ว เอ้า ลงไปในทะเล “เออ ตรงนี้มันเย็นดี ตรงนี้พอแล้ว เอาละ” นานอีกก็เบื่อทะเลอีก เบื่อป่า เบื่อภูเขา เบื่อทะเล เบื่อสารพัดอย่าง ไม่ใช่เบื่อเป็นสัมมาทิฏฐิ เบื่อเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นไม่ตรงตามความจริงอย่างนั้นกลับมาถึงวัดแล้ว “จะทำอย่างไรหนอ ไปแล้วไม่ได้อะไรมา” แล้วก็ทิ้งบาตร สึก

เมื่อเห็นทุกข์จักเกิดปัญญา

ทำไมถึงสึก เพราะไม่มีเครื่องกันสึก เหมือนรองเท้าเห็นไหม รองเท้าอย่างดีเขามีเครื่องกันสึก ไปถูกหินถูกตอไม่สึก กันสึกเสียแล้ว รองเท้าไม่ดีไม่มีเครื่องกันสึก มันก็สึก พระเราก็เหมือนกัน ทำไมสึกเพราะไม่เห็นอะไรเสียแล้ว ไปทิศใต้ก็ไม่เห็น ไปทิศเหนือก็ไม่เห็น ลงทะเลก็ไม่เห็น ขึ้นภูเขาก็ไม่เห็น เข้าอยู่ในป่าก็ไม่เห็น ไม่มีอะไร หมดแล้ว ตาย นี่มันเป็นอย่างนี้ คือหนีไป หนีจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไป ปัญญาไม่เกิด

ความฉลาดมีปัญญาเกิดจากการต่อสู้

เอาอย่างนี้นะ เอาใกล้ๆเรานี้ เราอยากจะอยู่ในความสงบระงับที่สุด ไม่อยากจะรู้เรื่องพระเรื่องเณร เรื่องอะไรต่างๆ หนีไปเรื่อยๆ กับอีกคนหนึ่งตั้งใจอยู่ ไม่หนี อยู่ปกครองตัวเอง รู้เรื่องของตัวเองคนอื่นมาอยู่ด้วยก็รู้เรื่องทั้งหมด แก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลา เช่น เจ้าอาวาส เป็นเจ้าอาวาสนี้เหตุการณ์มีอยู่ทุกเวลา มีอะไรมาให้พิจารณาผูกใจเราอยู่เสมอ เพราะอะไร เพราะเขาถามปัญหาไม่หยุด ปัญหาไม่หยุด เราก็มีความรู้ไม่หยุด แก้ปัญหาไม่หยุด ปัญหาตนด้วย ปัญหาคนอื่นด้วย สารพัดอย่าง นี่คือมันตื่นอยู่เสมอ ก่อนที่มันจะหลับมันก็ตื่นขึ้นมาอีก เป็นเหตุให้เราได้พิจารณาได้รู้เรื่อง เลยเป็นคนฉลาด ฉลาดเรื่องของตนเอง ฉลาดเรื่องของคนอื่น ฉลาดหลายๆอย่าง ความฉลาดอันนี้เกิดจากการกระทบ เกิดจากการต่อสู้ เกิดจากการไม่หนี ไม่หนีด้วยกายแต่หนีทางใจ หนีทางปัญญาของเรา ให้รู้ด้วยปัญญาของเราอยู่ตรงนี้แหละ ไม่หนีมัน อันนี้เป็นเหตุที่จะให้เกิดปัญญา จะต้องทำ จะต้องคลุกคลีอยู่ในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ก็เหมือนกันกับที่เราอยู่ในวัด ช่วยกันรักษาอะไรต่างๆ คลุกคลีอยู่อย่างนี้ มองดูอย่างอื่นเป็นกิเลส อยู่กับพระกับเณรมากๆ โยมมากๆ เป็นกิเลสมาก ใช่ยอมรับ แต่ต้องอยู่ไปให้ปัญญาเกิดสิ ให้มันลดความโง่ นั่นมันจะไปตรงไหนล่ะ เราอยู่ไปเพื่อให้ลดความโง่ อย่าอยู่ไปเพื่อให้มันเพิ่มความโง่ขึ้นมา

ต้องรู้จักทุกข์ จึงจักสู้ทุกข์ได้

ต้องพิจารณา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันกระทบเมื่อใดเป็นต้น ก็ต้องสังวรสำรวม พิจารณาเมื่อทุกข์เกิดขึ้นมา ใครทุกข์ ทุกข์นี้ทำไมมันจึงเกิด ท่านเจ้าอาวาสปกครองลูกศิษย์ลูกหานี่ก็เป็นทุกข์ ต้องรู้จักทุกข์เกิดขึ้นมานะ ให้มันรู้จักทุกข์สิ ทุกข์มันเกิดขึ้นมา เรากลัวทุกข์ ไม่รู้จักทุกข์ จะไปสู่ที่ไหนล่ะ ถ้าทุกข์มาก็ไม่รู้อีก จะไปสู้ทุกข์ที่ไหนล่ะนี่ เป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด ต้องให้รู้จักทุกข์ การหนีทุกข์ก็คือให้รู้จักพ้นทุกข์ ไม่ใช่ว่ามันทุกข์ที่นี้แล้วก็วิ่งไป หอบทุกข์ไปด้วย อยู่ที่นั้นทุกข์ก็เกิดขึ้นอีก ก็วิ่งอีก นี่ไม่ใช่คนหนีทุกข์ เป็นคนไม่รู้จักทุกข์ ถ้ารู้จักทุกข์ต้องดูเหตุการณ์ ครูบาอาจารย์ท่านว่าอธิกรณ์เกิดที่ไหนให้ระงับที่นั้น ทุกข์มันเกิดตรงนั้น เรื่องที่ไม่ทุกข์มันก็อยู่ตรงนั้น เรื่องที่ทุกข์มันจะหายก็อยู่ตรงที่มันเกิด ถ้าทุกข์เกิดขึ้นมาต้องพิจารณาไม่ต้องหนีนะ ต้องแก้อธิกรณ์ให้มันจบ รู้เรื่องของมัน ทุกข์เกิดตรงนี้เราหนีไป กลัวทุกข์ นี่แหละคือโง่ที่สุด สร้างความโง่ขึ้นตลอดเวลาเราต้องรู้นะ ทุกข์นี้มันไม่ใช่อะไร ไม่ใช่ทุกขสัจ หรือเรื่องทุกข์นั้นเราจะเห็นในแง่ไม่ดี หรือทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ถ้าหนีจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่ปฏิบัติตามสัจจธรรมเท่านั้นแหละ มันจะพบทุกข์เมื่อไร มันจะรู้เรื่องเมื่อไร ถ้าหนีทุกข์เรื่อยไป เราไม่รู้จักทุกข์ ทุกข์นี้เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ ถ้าไม่กำหนด จะรู้มันเมื่อไร ไม่พอใจหนีไป ไม่พอใจหนีไปเรื่อย อย่างนั้นต้องทำสงครามหมดประเทศ พญามารเอาหมด นี่ มันก็ต้องเป็นอย่างนี้

หนีทุกข์ด้วยปัญญา

พระพุทธองค์ท่านให้หนีด้วยปัญญา เปรียบประหนึ่งว่าเรามีเสี้ยนหรือหนามน้อยๆตำเท้าเราอยู่ เดินไปปวดบ้างหายปวดบ้างบางทีก็เดินไปสะดุดหัวตอเข้า ปวดขึ้นมาก็คลำดู คลำไปคลำมาไม่เห็นเลยขี้เกียจดูมัน ก็ปล่อยมันไป ต่อไปเดินไปถูกปุ่มอะไรขึ้นมาก็ปวดอีก มันเป็นอย่างนี้เรื่อยไป เพราะอะไรนะ เพราะเสี้ยนหรือหนามนั้นมันยังอยู่ในเท้าเรา ยังไม่ออก ความเจ็บปวดมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น เมื่อมันปวดมาก็คลำหามัน ไม่เห็นก็ปล่อยไป นานๆเจ็บอีกก็คลำอีกอยู่อย่างนั้นเรื่อยๆ ทุกข์ที่เกิดขึ้นมา เราต้องกำหนดรู้มัน ไม่ต้องปล่อยมันไป เมื่อมันเจ็บปวดขึ้นมา “เออ หนามนี่มันยังอยู่นี่นะ”

เมื่อความเจ็บปวดเกิดขึ้น ความคิดที่ว่าจะเอาหนามออกจากเท้าเราก็มีพร้อมกันขึ้นมา ถ้าเราไม่เอามันออก ความเจ็บปวดมันก็เกิดขึ้นเดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็เจ็บ อยู่อย่างนี้ ความสนใจที่จะเอาหนามออกจากเท้าเรามันมีอยู่ตลอดเวลา ผลที่สุดวันหนึ่งต้องตั้งใจเอาหนามออกให้ได้ เพราะมันไม่สบาย อันนี้เรียกว่า การปรารภความเพียรของเราต้องเป็นอย่างนั้น มันขัดตรงไหน มันไม่สบายตรงไหน ก็ต้องพิจารณาที่ตรงนั้น แก้ไขที่ตรงนั้น แก้ไขหนามที่มันยอกเท้าเรานั่นแหละ งัดมันออกเสีย

จงมีความเพียรเพื่อฆ่ากิเลส

จิตใจของเรามันติดอยู่ที่ตรงไหน เราจะต้องรู้จักอยู่อย่างนั้น คลำไปคลำมาก็รู้อยู่ เห็นอยู่ เป็นอยู่อย่างนั้น แต่ว่าความเพียรของเราไม่ถอยเหมือนกัน ไม่หยุด ท่านเรียกว่า วิริยารัมภะ ปรารภความเพียรอยู่เสมอ เมื่อทุกขเวทนาเกิดขึ้นเมื่อไรในเท้าของเรานะ ปรารภว่าจะเอาหนามออก จะบ่งหนามออกเสมอไม่ได้ขาดเลย ทุกข์ทางใจมันเกิดขึ้นมา เรื่องกิเลสตัณหานี้เราก็มีความรู้สึกปรารภความเพียรอยู่เสมอว่าจะพยายามฆ่ามัน พยายามละมันอยู่ตลอดเวลา ตามไปไม่หยุด อีกวันหนึ่งมันก็จนมุมเรา ถึงที่นั้นเราก็ตะครุบมันได้

ฉะนั้นเรื่องสุขทุกข์นี้ เราจะทำอย่างไร ถ้าไม่มีสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จะเอาอะไรเป็นเหตุ ถ้าไม่มีเหตุ ผลมันจะเกิดตรงไหนเล่านี่เรียกว่าธรรมมันเกิดเพราะเหตุ เมื่อผลมันจะดับไปนั้น เพราะเหตุมันดับไปก่อน ผลมันจึงดับไปด้วย มันเป็นไปในทำนองอันนี้ แต่ว่าเราไม่ค่อยเข้าใจจริง อยากแต่จะหนีทุกข์ รู้อย่างนี้เรียกว่ารู้ไม่ถึงมัน

ไม่ยึดมั่น มันก็ไม่ทุกข์

ความเป็นจริงแล้ว ท่านอยากจะให้รู้โลกที่เราอยู่นี้ ไม่ต้องหนีไปไหน จะอยู่ก็ได้ จะไปก็ได้ ให้มีความรู้สึกอย่างนั้น ให้พิจารณาให้ดี มันสุข มันทุกข์มันอยู่ตรงไหน อะไรที่เราไม่ยึดหมายหรือไม่มั่นหมายกับมัน อันนั้นไม่มี ทุกข์มันก็ไม่เกิด ทุกข์มันเกิดจากภพ มันมีภพที่จะเกิด มันก็ต้องไปเกิดที่ภพ ตัวอุปาทานยึดมั่นถือมั่นนี้แหละมันเป็นภพให้ทุกข์เกิด ทุกข์มันเกิดขึ้น ดูเถอะ อย่าไปดูไกลๆ ดูปัจจุบันนี้ ดูกายดูจิตของเรานี้ เมื่อทุกข์เกิดขึ้นมา เพราะอะไรมันเป็นทุกข์ ดูเดี๋ยวนี้แหละ เมื่อสุขเกิดขึ้นมา มันเป็นอะไรมันจึงสุข ดูเดี๋ยวนั้น มันเกิดตรงไหนให้มันรู้จักตรงนั้น ทุกข์เกิดที่อุปาทาน สุขเกิดที่อุปาทานทั้งนั้น

จิตเราเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด

พระโยคาวจรเจ้า ผู้ประพฤติปฏิบัติดีแล้ว เห็นจิตว่าเป็นอยู่อย่างนี้ มันเกิดๆตายๆเป็นของไม่แน่นอนสักอย่างหนึ่งเลย ถ้าพิจารณาแล้วท่านดูมันทุกวิธี มันเป็นของมันอย่างนั้น ไม่มีอะไรแน่นอน เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด ไม่มีอะไรที่เป็นแก่นสาร เดินไปท่านก็รู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้น นั่ง…ท่านก็รู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้น จะเอาตรงไหนมีแต่ทุกข์ทั้งนั้น เอาโลกก็มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น เหมือนแท่งเหล็กใหญ่ๆที่เขาเอาเข้าเตาหลอมแล้วนั้นแหละ ร้อนไปทั้งแท่งเลย ยกขึ้นมาเอามือไปแตะดูข้างบนมันก็ร้อน ข้างๆมันก็ร้อน มันร้อนทั้งนั้นใช่ไหม ที่ไม่ร้อนไม่มี เพราะมันออกจากเตาหลอมมา เหล็กทั้งแท่งไม่มีเย็นเลย

อันนี้ถ้าหากเราไม่พิจารณาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่รู้เรื่อง จะต้องเห็นชัด จะต้องไม่เกิด จะต้องไม่ให้มันเกิด ให้รู้จักการเกิด แม้แต่ที่ว่า “แหม คนนี้ทำไม่ถูกใจฉัน ฉันเกลียดที่สุด” ไม่มีแล้ว “คนนี้ทำ ฉันชอบที่สุด” ไม่มีแล้ว มีแต่อาการในโลกที่พูดกันว่า ชอบที่สุดไม่ชอบที่สุดเท่านั้น แต่พูดอย่างใจอย่าง คนละเรื่องกัน จะต้องเอาสมมติของโลกมาพูดกัน ให้มันรู้เรื่องกับโลกเท่านั้น ไม่มีอะไรแล้ว มันเหนือต้องให้มันเหนืออย่างนั้น อันนั้นเป็นที่อยู่ของพระ พวกเราทั้งหลายก็เหมือนกันฉันนั้น จะต้องปฏิบัติอย่างนั้น ต้องพยายามอย่าไปสงสัย

ก่อนที่ผมจะปฏิบัตินี่ คิดว่าศาสนาตั้งอยู่ในโลก ทำไมบางคนทำ บางคนไม่ทำ ทำแบบนิดๆหน่อยๆแล้วเลิก มันอะไรอย่างนี้ หรือผู้ไม่เลิกก็ไม่ประพฤติปฏิบัติเต็มที่ นี่มันเป็นเพราะอะไร ก็ไม่รู้นั้นเองละอาตมาจึงต้องอธิษฐานในใจว่า เอาละ ชาตินี้เราจะมอบกายอันนี้ ใจอันนี้ให้มันตายไปชาติหนึ่ง จะทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกประการ จะทำให้มันรู้จักในชาตินี้ ถ้าไม่รู้จักมันก็ลำบากอีก จะปล่อยวางมันเสียทุกอย่าง จะพยายามทำถึงแม้ว่ามันจะทุกข์ มันจะลำบากขนาดไหน ก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นก็จะสงสัยเรื่อยไป คิดอย่างนั้นเลยตั้งใจทำ ถึงแม้มันจะสุข มันจะทุกข์ จะลำบากขนาดไหนก็ต้องทำชีวิตในชาตินี้ให้เหมือนวันหนึ่งกับคืนหนึ่งเท่านั้น ทิ้งมัน จะตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จะตามธรรมะให้มันรู้ ทำไมมันยุ่งมันยากนักวัฏฏสงสารนี้ อยากรู้ อยากจะเป็นอย่างนั้น คิดปฏิบัติ

ผู้ปฏิบัติต้องมักน้อย สันโดษ

ในโลกนี้ นักบวชทิ้งอะไรไหม ถ้าเป็นนักบวชไม่สึกแล้วก็เป็นอันว่าทิ้งหมดทุกอย่างเลย ไม่มีอะไรจะไม่ทิ้ง ที่โลกเขาต้องการ เราก็ทิ้งหมดทั้งนั้นแหละ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทิ้งหมด แต่ก็กระทบทั้งหมดเช่นกัน ฉะนั้น เราเป็นผู้ปฏิบัติจะต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ ถึงการพูดการจา การขบการฉัน การอะไร จะต้องเป็นคนที่ง่ายที่สุด กินง่าย นอนง่าย อะไรๆก็ง่าย แบบที่เรียกว่าเป็นตาสีตาสาธรรมดา แบบง่ายๆ ทำไป ยิ่งทำมันก็ยิ่งภูมิใจ มันจะเห็นในจิตในใจของเรา ฉะนั้นธรรมะนี้จึงเป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตัวเรา ถ้ารู้เฉพาะตัวเราแล้วก็ต้องปฏิบัติเอาเอง

อย่าเชื่อง่ายแต่ให้ใช้ปัญญา

แต่เราปฏิบัตินี้ ก็จะต้องอาศัยครูบาอาจารย์ครึ่งหนึ่งเท่านั้น อย่างวันนี้อาตมาเทศน์ให้ฟัง อันนี้ยังเป็นของใช้ไม่ได้เลย แต่เป็นของน่ารับฟังไว้ ถึงมีใครมาเชื่อ เชื่อเพราะอาตมาพูด ยังไม่เกิดประโยชน์เต็มที่ ถ้าใครเชื่อที่ผมพูดเต็มที่ คนนั้นก็ยังโง่ ถ้าหากว่าฟังแล้วมีเหตุผล เอาไปพิจารณาดู ให้มันเห็นชัดในจิตของตัวเอง ทำเองละเองอันนั้นแหละมีผลมากแล้ว รู้รสมันแล้ว คือมันรู้ด้วยตนเองจริงๆ อันนี้พระพุทธองค์ท่านถึงไม่ตรัสลงไป คือบอกชัดไม่ได้ เหมือนกับบอกสีให้คนตาบอดว่า มันขาวเหลือเกิน เหลืองเหลือเกิน บอกไม่ได้ หรือบอกก็ได้อยู่ แต่ท่านว่ามันไม่เกิดประโยชน์ เพราะคนนั้นตาบอดแล้ว ดังนั้นท่านจึงย้อนกลับมาให้เป็นปัจจัตตัง ให้เห็นชัดกับตัวเอง เมื่อเห็นชัดกับตัวเองแล้ว มันจึงจะเป็นสิขีภูโต เป็นพยานของเราแท้ๆ จะยืนก็ไม่สงสัย นั่งก็ไม่สงสัย นอนก็ไม่สงสัย ใครจะมาพูดว่า “ท่านปฏิบัติอย่างนี้ไม่ถูก ผิดหมดแล้ว” มันก็สบายใจได้ เพราะมันมีหลัก

เมื่อใช้ปัญญาจักเกิดสัมมาทิฏฐิ

ผู้ปฏิบัติต้องเป็นอย่างนั้น จะไปที่ไหน ใครจะบอกให้ชัดเจนอย่างไรไม่ได้ นอกจากความรู้สึกของเรา การเห็นของเรามันเกิดเป็นสัมมาทิฏฐิขึ้น เรื่องประพฤติปฏิบัติมันเป็นอย่างนั้น เราทุกคนก็เหมือนกัน เรื่องปฏิบัตินี้นะ บวชอยู่ตั้ง ๕ ปี ๑๐ ปี จะปฏิบัติสักเดือนหนึ่ง อย่างนี้มันก็ยากเหมือนกัน ความเป็นจริงอายตนะทั้งหลายต้องต่อสู้ตลอดเวลา สบายใจไม่สบายใจก็รู้จัก ชอบไม่ชอบก็ให้รู้จัก ให้มันรู้จักสมมติ ให้มันรู้จักวิมุตติ วิมุตติกับสมมติมันจะมาพร้อมกัน ให้รู้จักดีรู้จักชั่ว รู้จักพร้อมกัน เกิดขึ้นพร้อมกัน อันนี้เป็นผลงานที่เกิดขึ้นจากการทำงานของผู้ปฏิบัติ

ฉะนั้น สิ่งใดที่มันเกิดประโยชน์ตนและเกิดประโยชน์คนอื่น สร้างประโยชน์ตนแล้วสร้างประโยชน์คนอื่น ชื่อว่าทำตามพระพุทธเจ้า อาตมาเคยสอนเสมอ สิ่งที่ควรทำนั้นก็ไม่ค่อยอยากจะทำกัน อย่างกิจวัตรข้อวัตรอะไรต่างๆ เคยพูดบ่อยๆ พูดไปก็ไม่ค่อยเอาใจใส่ เพราะคนมันไม่รู้ มันขี้เกียจบ้าง มันรำคาญบ้าง วุ่นวายบ้าง นั่นแหละมันเป็นเหตุ เราจะไปอยู่ที่มันไม่มีอะไร อยู่เฉยๆ จะเห็นอะไรไหม อาหารก็เหมือนกัน ฉันไปแล้วมันเฉยๆจะเป็นอะไรไหม อร่อยไหม หูมันตึง พูดแล้วก็เฉย มันจะรู้เรื่องไหม ถ้าไม่รู้เรื่องมันจะมีเรื่องไหม ไม่มีเรื่องมันก็ไม่มีเหตุ มีที่แก้ไหม ให้เราเข้าใจการปฏิบัติอย่างนั้น

สมัยก่อนอาตมาไปอยู่เหนือ ไปอยู่กับพระหลายองค์ พระแก่ๆแบบหลวงพ่อหลวงตา ๒-๓ พรรษา ผมนั้น ๑๐ พรรษาแล้ว อยู่กับพวกคนแก่ก็ตั้งใจปฏิบัติเลย รับบาตร ซักจีวร เทกะโถน สารพัดอย่าง ไม่ได้คิดว่าอันนี้ทำให้องค์นั้น ไม่ได้คิด ทำข้อปฏิบัติของเราใครไม่ทำเราก็ทำ เป็นกำไรของเรา เป็นเรื่องสบายใจ ภูมิใจ ถึงวันอุโบสถ เราก็รู้จัก เราเป็นพระหนุ่มไปจัดโรงอุโบสถ ตั้งน้ำใช้น้ำฉันสารพัดอย่าง สบาย พวกนั้นไม่รู้จักกิจวัตรก็เฉย เราก็ไม่ว่าเขาเพราะเขาไม่รู้จัก อันนี้เรามาปฏิบัติ เราทำแล้วก็ภูมิใจ ถึงเวลาห่มผ้าเดินจงกรม…สบาย มันภูมิใจเหลือเกิน มันดี มันมีกำลัง

กวาดสิ่งสกปรกออกจากจิตใจ

ข้อวัตรทั้งหลายมีกำลังมาก ที่ไหนในวัดที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นในกุฏิของเรา ในกุฏิคนอื่นก็ดี ที่มันสกปรกรกรุงรัง ทำเลย ไม่ต้องทำให้ใคร ไม่ต้องทำเอาหน้าเอาตาจากใคร ทำเพื่อข้อปฏิบัติของเรากวาดกุฏิ กวาดเสนาสนะให้มันสะอาด ถ้าเราทำเช่นนี้ ก็เหมือนเรากวาดของสกปรกออกจากใจของเรา เพราะเราเป็นผู้ปฏิบัติ อันนี้ให้มันมีอยู่ในใจของพวกเราทุกคน ความสามัคคีนั้นไม่ต้องเรียกร้องหรอกเป็นเลย ให้มันเป็นธรรมมะ สงบระงับ พยายามทำใจให้มันเป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรมันจะมาขัดแย้งเรา อะไรที่เป็นงานหนักงานหนาช่วยกันทำ ถ้าเราช่วยกันทำ ไม่นานหรอกก็เสร็จ ช่วยกันง่ายๆแล้วก็แล้วไป มันดีที่สุด อาตมาก็เคยพบเหมือนกัน แต่ว่าอาตมามีกำไร คือไปอยู่ด้วยกันมากๆ ทั้งพระทั้งเณร “เอ้า วันนี้ย้อมผ้ากันนะ” ย้อมผ้า เราไปต้มแก่นขนุน มีพระบางองค์ให้เพื่อนต้มแก่นขนุน เสร็จแล้วก็เอาผ้ามาชุบๆ ย้อมแล้วก็หนีไปตากผ้า อยู่กุฏินอนสบาย ไม่ต้องต้มแก่นขนุน ไม่ต้องมาล้างหม้อ ไม่ต้องจัดทำอะไร เขานึกว่าเขาสบาย เขาดีอันนั้นคือโง่ที่สุด แล้วสร้างความโง่ใส่ตัวเอง เพราะเขาไม่ได้ทำ เพื่อนเขาทำถึงเวลาไม่ต้องทำอะไรเลย ง่าย นี่ยิ่งเพิ่มความโง่ขึ้น ดูเถอะอันนั้นไม่ได้เกิดประโยชน์แก่เขาเลย นี่คือความคิดของคนโง่ กิจที่จะต้องทำก็ไม่ทำ คือถ้าไม่ทำได้ละเป็นดีที่สุด นั่นแหละมันโง่ที่สุด ถ้าเรามีความเห็นอย่างนั้นในใจอยู่ เราอยู่ไม่ได้

อย่าปล่อยใจให้ตามอารมณ์

ฉะนั้นจะพูดอะไร จะทำอะไร ก็ให้รู้สึกว่าเรามาทำอะไรที่นี้ อยากกินดี นั่งดี นอนดี อะไรทั้งหลายนั้นไม่ได้ ที่เรามาทำอะไร ถ้าเราคิดอย่างนี้อยู่เสมอ มันก็จะผูกใจเราตลอดเวลา ไม่เผลอ ผูกใจเสมอ แม้ท่านจะยืนอยู่ ท่านก็จะปราภความเพียร จะเดินอยู่ก็ปรารภความเพียร จะนอนอยู่ก็ปรารภความเพียร ถ้าไม่ได้ปรารภความเพียรไม่ได้เป็นอย่างนั้น นั่งอยู่ก็นั่งในบ้าน เดินก็ไปเดินในบ้าน จะไปเล่นอยู่ในบ้าน เล่นกับประชาชนเขา ใจมันไปอย่างนั้น ไม่ได้ปรารภความเพียร ไม่ได้หักห้ามใจของเราอีกเสียด้วย ก็ยิ่งปล่อยมันไปตามลมตามอารมณ์ นี่เรียกว่าตามอารมณ์ ก็เหมือนเด็กในบ้าน เราไปตามใจมัน มันจะดีไหม พ่อแม่ตามใจเด็กในบ้านมันจะดีไหม ถ้าไปตามใจมันตั้งแต่เป็นเด็ก พอมันรู้ภาษาเขาก็จะเฆี่ยนมันเท่านั้นแหละ กลัวมันจะโง่ การฝึกจิตของเราก็ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องรู้จักตัว รู้จักฝึกจิตของเรา ถ้าเราไม่รู้จักฝึกจิตของตัวเอง จะคอยคนอื่นมาฝึกให้ ลำบากมาก ลำบากมากทีเดียวนะ

บรรลุธรรมได้ เมื่อมีสติปัญญาสมบูรณ์

อย่าเข้าใจว่า อยู่นี่ไม่ได้ทำความเพียร การทำความเพียรไม่มีขีดขั้น จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ได้หมดทั้งนั้น แม้กวาดลานวัดอยู่ก็บรรลุธรรมะได้ แม้มองไปเห็นแสงพยับแดดเท่านั้น ก็บรรลุธรรมะได้ จะต้องให้สติมีพร้อมอยู่เสมอ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เพราะมันมีโอกาสที่จะบรรลุธรรมะอยู่ทุกเวลา อยู่ทุกสถานที่ เมื่อเราตั้งใจอยู่ พิจารณาอยู่

ฉะนั้น เราจึงอย่าประมาท ให้ระวัง ให้รู้ เดินไปบิณฑบาตอย่างนี้ มีความรู้สึกตั้งหลายอย่าง กว่าเราจะกลับถึงวัดเรา เออ เอาซิธรรมะดีๆมันจะเกิดขึ้น เมื่อมาถึงวัดมานั่งฉันบิณฑบาต แหม มันมีธรรมะดีๆที่เกิดขึ้นมาให้เรารู้จัก มันต้องเกิดอยู่อย่างนี้ ถ้าเราปรารภความเพียรอยู่เสมอ ไม่ใช่ว่ามันเป็นอะไรนะ มันมีข้อคิด มันมีปัญหามันมีธรรมะ มันเป็นธัมมวิจยะ สอดส่องธรรมะอยู่ตลอดเวลา มันเป็นโพชฌงค์ ถ้าเราศึกษาอยู่เป็นพหูสูตร ศึกษาอย่างไร ศึกษาอารมณ์นี้ธรรมะนี้มันเกิดที่จิต ไม่ต้องไปศึกษากับใครที่ไหน ศึกษาอยู่ที่เมื่อเรามีสติอยู่ มันมีข้อศึกษา

ทำจิตให้ชอบธรรม อย่าหลงโลก

โพชฺฌงฺโค สติสงฺขาโต ธมฺมานํ วิจโย… มีสติมันก็มีธัมมวิจยะ มันติดต่อกันเสมอ มันเป็นองค์ตรัสรู้ธรรม ถ้าเรามีสติอยู่ มันมีธัมมวิจยะ ไม่ได้อยู่เฉยๆ เป็นองค์ธรรมตรัสรู้ ถ้าอยู่ในระบบนี้ ตรัสรู้ธรรมะอยู่ตรงนี้ภายในจิตของเรานี้ การปฏิบัติไม่มีกลางวัน ไม่มีกลางคืน ไม่มีเวลา ไม่มีเรื่องอื่นมาปนปนก็ให้รู้จักว่ามันปน มีธัมมวิจยะอยู่ในใจเสมอ คือชอบธรรม เฟ้นธรรมอยู่เสมอ มีสติวิจัยธรรมอยู่ตลอดเวลา เรื่องจิตมันเป็นอย่างนั้นถ้ามันตกกระแสของมันแล้ว ไม่ใช่วิจัยไปอย่างอื่น จะไปเที่ยวตรงโน้นจะไปทางนี้ ทางนั้น สนุก จังหวัดนี้จังหวัดนั้น อันนั้นมันหลงโลกเดี๋ยวก็ตายละ

จงเป็นผู้ตื่นอยู่เสมอ

ฉะนั้น จงพากันตั้งใจ ไม่ใช่ว่านั่งหลับตาอย่างเดียวจึงเกิดปัญญา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันมีอยู่เสมอ ตื่นอยู่เสมอ ศึกษาตลอดเวลา เห็นต้นไม้ เห็นสัตว์ต่างๆก็ได้ศึกษาอยู่ตลอดเวลา น้อมเข้ามาเป็นโอปนยิกธรรม ให้เห็นชัดในตัวของเราเป็นปัจจัตตัง จะมีอารมณ์ภายนอกกระทบกระทั่งเข้ามา มันก็เป็นปัจจัตตังสม่ำเสมอมันไม่ทิ้ง พูดง่ายๆเหมือนเขาเผาถ่านเผาอิฐ เตาถ่านเตาอิฐเคยเห็นไหม ก่อไฟขึ้นหน้าเตาสักสองศอกหรือเมตรหนึ่ง มันจะดูดควันไฟเข้าไปในเตาหมด ดูอันนั้นก็ได้มันเห็นชัดอย่างนั้น อันนี้มันเป็นรูปเปรียบเทียบ ถ้าทำเตาเผาถ่านเผาอิฐให้ถูกเรื่องถูกลักษณะของมัน ก่อไฟอยู่หน้าเตาสักสองสามศอก เมื่อมีควันขึ้นมา มันจะดูดเข้าไปในเตาหมดไม่มีเหลือเลย ความร้อนก็จะเข้าไปบรรจุในเตาหมด ไม่หนีไปไหน ความร้อนจะเข้าไปทำลายเร็วที่สุด นี่มันเป็นอย่างนั้น ความรู้สึกของผู้ประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน จะมีความรู้สึกดูดเข้าไปให้เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งนั้น ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรสทั้งหลาย มันจะดูดเข้าไปให้เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งนั้น จะเป็นสัมผัสที่เกิดปัญญาอย่างนั้นสม่ำเสมอตลอดเวลา

[จบเรื่อง ความสงบ]หลวงปู่ชา สุภัทโท หนังสือ หมวด: